Metroid ประวัติศาสตร์ของซีรีส์ที่เปลี่ยนโฉมเกมแนวสำรวจไปตลอดกาล

Metroid คือ
Metroid เป็นแฟรนไชส์เกมแอ็คชัน-ผจญภัยของนินเทนโด ที่เป็นหนึ่งในต้นแบบของแนวเกมที่วันนี้เรียกว่า “Metroid-vania” (สำรวจแบบไม่เป็นเส้นตรง การปลดล็อกความสามารถใหม่ ๆ เพื่อเข้าพื้นที่เดิม ๆ ได้) เกมซีรีส์นี้โดดเด่นจากบรรยากาศที่อึมครึม การออกแบบแผนที่ที่ต่อเนื่อง และตัวละครเอกที่เป็นนักล่ารางวัลหญิง
กำเนิด แนวคิดและผู้อยู่เบื้องหลัง (1986)

ต้นฉบับ Metroid พัฒนาโดย Nintendo R&D1 และปล่อยครั้งแรกบน Family Computer Disk System ในประเทศญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1986 (เวอร์ชัน NES ออกตามมาในอเมริกาและยุโรปปีต่อ ๆ มา) ผลิตโดย Gunpei Yokoi และกำกับโดย Satoru Okada โดยทีมออกแบบยังมี Yoshio Sakamoto, Makoto Kano และศิลปิน Hiroji Kiyotake ซึ่งช่วยกำหนดภาพลักษณ์ของ Samus และโลกของเกม
แนวคิดของเกมเกิดจากการผสมกันของเกมเพลย์กระโดด-ยิง (เช่น Mario) กับการสำรวจแบบไม่เป็นเส้นตรง ของ Zelda แต่ใส่โทนมืดและบรรยากาศไซไฟหนักขึ้น นักพัฒนายังยอมรับว่าภาพยนตร์ไซไฟ/สยองขวัญอย่าง Alien มีอิทธิพลต่อโทนของเกม (บรรยากาศสิ่งมีชีวิตต่างดาว,ความเปล่าเปลี่ยวภายในฐานร้าง ฯลฯ) แนวทางนี้ช่วยให้ Metroid แตกต่างจากเกมแอ็คชันทั่วไปในยุคนั้น
ตัวละคร Samus Aran การพลิกมุมมองสำคัญ

หนึ่งในโมเมนต์ที่ถูกจดจำมากที่สุดของ Metroid คือการเปิดเผยว่า Samus ซึ่งตลอดเกมผู้เล่นเห็นเป็นนักรบในชุดเกราะที่ดูเหมือนชาย แต่แท้จริงเป็นผู้หญิง ขณะจบเกมถอดหน้ากาก ซึ่งถือเป็นการทลายคาดหมายด้านภาพลักษณ์ตัวเอกในยุคนั้น และกลายเป็นสัญลักษณ์ของแฟรนไชส์
ยุค SNES และ Super Metroid การยกระดับแนวคิด (1994)

หลังจาก Metroid II บน Game Boy (1991) ทีม Nintendo ให้ Intelligent Systems และทีมอื่น ๆ เข้ามาช่วยพัฒนา และในที่สุด Super Metroid (1994) บน SNES ก็ถือเป็นผลงานไคลแม็กซ์ของ 2D Metroid ขยายแผนที่และการเล่าเรื่องด้วยฉาก-ดนตรี-บรรยากาศที่เข้มข้น เพิ่มพลังและไอเท็มใหม่ ๆ มากมาย ผลคือ Super Metroid ถูกยกย่องในวงการเกมอย่างกว้างขวางและมักถูกอ้างถึงว่าเป็นหนึ่งในเกมที่ดีที่สุดตลอดกาลสำหรับ SNES และเกมแนว Metroidvania โดยมันยังเป็นมาตรฐานที่เกมภาคหลังต้องเทียบเคียง
ช่องว่างและการเปลี่ยนรูปแบบสู่ 3 มิติ Metroid Prime (2002)

หลังยุค SNES มีช่องว่างยาวหลายปีโดยไม่มีภาคหลัก 2D ที่โดดเด่น จนกระทั่ง Retro Studios (สตูดิโอในสหรัฐฯ ที่นินเทนโดร่วมงานด้วย) ถูกมอบหมายให้พัฒนาเกม Metroid ในมุมมองบุคคลที่หนึ่ง ผลลัพธ์คือ Metroid Prime (2002) เกมที่นำสูตรการสำรวจแบบ Metroid ไปสู่มุมมอง FPS แต่ย้ำว่าเป็น “first-person adventure” มากกว่า FPS เน้นการสำรวจ ระบบอาวุธ/อุปกรณ์ และการเล่าเรื่องผ่านสภาพแวดล้อม ซึ่งได้รับคำชมจากนักวิจารณ์และผู้เล่นว่าประสบความสำเร็จในการย้ายแนวไปสู่ 3 มิติ Metroid Prime ยังช่วยขยายฐานแฟน ๆ ของซีรีส์ไปยังผู้เล่นฝั่งคอนโซลยุคใหม่
ภาคต่อและความหลากหลายของโปรเจกต์ (2000s–2010s)

หลัง Prime มีทั้งภาคต่อ (เช่น Metroid Prime 2 Echoes,Metroid Prime 3 Corruption) และเกมพกพา/สปินออฟ (เช่น Metroid Fusion บน GBA) แต่ระยะเวลาหลัง Super Metroid ถึงกลางยุค 2000s มีความยากลำบากในการรักษาจังหวะการออกภาคหลัก ทำให้แฟน ๆ หวังภาคใหม่กันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงโปรเจกต์ที่ถูกยกเลิกหรือเปลี่ยนตัวผู้พัฒนาหลายครั้ง.
การฟื้นฟู รีเมคและ Metroid Dread (2017–2021)

ช่วงปลายทศวรรษ 2010s สตูดิโอภายนอกอย่าง MercurySteam (สเปน) เข้ามาช่วยงานกับนินเทนโด เริ่มจาก Metroid Samus Returns (2017) รีเมคของ Metroid II สำหรับ 3DS ที่ปรับปรุงระบบการต่อสู้และกราฟิก ต่อด้วย Metroid Dread (2021) บน Nintendo Switch ซึ่งพัฒนาต่อยอดแนวทาง 2D โดยเป็นการทำให้โปรเจกต์ที่เคยถูกยกเลิกบน Nintendo DS กลายเป็นจริง มันได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากและขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในภาคที่ขายดีที่สุดของซีรีส์
Metroid Prime Remastered,Prime 4 และสถานะปัจจุบัน

นินเทนโดได้ปล่อย Metroid Prime Remastered (รีมาสเตอร์ของภาคแรก) ในปี 2023 เพื่อให้ผู้เล่นสมัยใหม่ได้สัมผัสผลงานคลาสสิกด้วยภาพ/เสียงที่ปรับใหม่ และโปรเจกต์ Metroid Prime 4 ที่ประกาศมาตั้งแต่ปี 2017 ก็มีประวัติการพัฒนาเป็นรอบ ๆ โดย Nintendo เคยยกเลิกการพัฒนาที่ทำก่อนหน้าแล้วมอบหมายให้ Retro Studios ทำใหม่ จนมาถึงปัจจุบันที่ตัวเกมอย่าง Metroid Prime 4 ก็จะออกในเร็วๆนี้แล้ว
อิทธิพลทางวัฒนธรรมและมรดกของ Metroid

Metroid ไม่เพียงแต่สร้างตัวแบบเกมเพลย์ ที่ได้รับการเลียนแบบมากมาย แต่ยังสร้างสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมอย่าง Samus Aran ที่กลายเป็นไอคอนหญิงในวงการเกม นอกจากนี้คำว่า “Metroidvania” ก็จัดตั้งขึ้นเพื่ออธิบายเกมที่ยึดรูปแบบการออกแบบแผนที่และการปลดล็อกความสามารถตามแบบ Metroid/ Castlevania ซึ่งสะท้อนมรดกยาวนานของซีรีส์ในวงการเกมอินดี้และสตูดิโอใหญ่ทั่วโลก
สรุป
จากเกม Famicom Disk System ปี 1986 สู่ผลงาน 3 มิติที่ยิ่งใหญ่และการกลับมาของโหมด 2D ในยุคสมัยใหม่ Metroid ยังคงเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ที่มีอิทธิพลต่อการออกแบบเกมมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านบรรยากาศ การเล่าเรื่องผ่านสิ่งแวดล้อม และการสร้างประสบการณ์การสำรวจแบบไม่ตัดตอน แม้เส้นทางการพัฒนาในบางช่วงจะไม่ราบรื่น แต่ความสนใจจากแฟน ๆ และการลงทุนของนินเทนโดยังทำให้ชื่อ Metroid ยังคงมีชีวิตและพัฒนาต่อไป……
เขียนโดย.bank
📢 Tinzshop มีร้านบน LINE แล้ว! สอบถาม–สั่งซื้อได้ง่ายกว่าเดิม📲 กดปุ่มด้านล่างเพื่อแชทกับแอดมิน

